หยุดทารุณสัตว์ … ก่อนที่จะไม่เหลือ

เนื่องจากในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการเผยแพร่ภาพข่าวการทารุณสัตว์ การลักลอบค้าสัตว์อย่างผิดกฎหมาย และการค้าอวัยวะสัตว์ ในสื่อทุกแขนง รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ (Social media) ที่สามารถส่งต่อข้อมูลได้อย่างรวดเร็วได้เผยแพร่ภาพการทารุณสัตว์ โดยเฉพาะการฆ่าช้างเพื่อเอางา และอวัยวะอื่นๆ มาเพื่อจำหน่าย ซึ่งมีมูลค่าหลายแสนบาทจนถึงหลักล้าน ซึ่งการกระทำของบุคคลกลุ่มนี้ ได้สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ, สภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ระบบเศษฐกิจและที่สำคัญยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นอย่างมากอีกด้วย ซึ่ง นายชัยชาญ เลาหศิริปัญญา เลขาธิการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในฐานะที่ สมาคมฯ ดูแลเกี่ยวกับการทารุณสัตว์ สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมในเวลานี้ส่งผลต่อประเทศหลายด้าน การฆ่าช้างเพื่อเอางา การลักลอบค้าสุนัขข้ามชาติ ซึ่งเป็นการทารุณสัตว์ที่โหดร้ายมาก และมองว่าจะได้งาช้างมาแต่ละชิ้นนั้นจะต้องฆ่าช้างอีกเท่าไหร่ถึงจะพอต่อความต้องการของมนุษย์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง ได้เข้าช่วยเหลือสุนัขกว่า 300 ตัว ที่ท่าน้ำริมโขง จ.บึงกาฬ จากขบวนการลักลอบนำสุนัขข้ามแม่น้ำโขงขณะเตรียมส่งออกไปยังฝั่งประเทศลาว ซึ่งจากเหตุการนี้จะพบว่าการเลี้ยงสัตว์บางครั้งคนเลี้ยงไม่ได้เลี้ยงจากใจ แต่เลี้ยงเพื่อที่จะแสวงหารายได้ ไม่ว่าจะเป็น การเลี้ยงสุนัข การเลี้ยงชะนี เลี้ยงช้าง เลี้ยงนก และสัตว์ประเภทอื่นๆ เพื่อที่จะนำมาโชว์ให้ชาวต่างชาติถ่ายรูปเพื่อสร้างรายได้ในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆซึ่ง เลขา ฯ สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย มองว่า การกระทำเหล่านี้เป็นการ ฤทธิ์รอนสิทธิของสัตว์ พร้อมกล่าวว่า อีกไม่ช้านี้ประเทศไทยก็จะมีกฎหมายที่จะเข้ามาดูแลชีวิตของสัตว์ให้ดีขึ้น และจะไม่เห็นภาพการทารุณ การทำร้ายการทดทิ้งสัตว์อย่างทิ้งๆ ขว้างๆอีกต่อไป โดยกฏหมายตัวนี้คือ พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดการสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ…… ซึ่งเป็นร่างที่หลายหน่วยงานร่วมกันจัดทำขึ้นมา อาทิ กรมปศุสัตว์, สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย และสภาทนายความได้ร่วมกันพัฒนา ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ผ่านร่างในวาระที่1 และ 2 ในชั้นตอนการพิจารณาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเหลืออีก 3วาระของขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งอีกไม่นานประเทศไทยก็จะมี พ.ร.บ. ที่จะเข้ามาดูแลและเอาผิดกับบุคคลหรือกลุ่มคนที่ทารุณสัตว์ได้อย่างชัดเจน แต่ในช่วงที่ยังไม่มี พ.ร.บ.ออกมานั้น เลขา ฯ สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าอยากให้ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ และดูแลสัตว์ ให้อิสรภาพ ซึ่งอิสรภาพที่ว่านี้มีด้วยกัน 5ประการคือ

  1. อิสรภาพจากความหิวกระหาย โดยการได้รับอาหารอย่างเต็มที่ไม่อดๆยากๆ
  2. อิสรภาพจากความไม่สะดวกสบาย ซึ่งสัตว์ต้องไม่ถูกกักขังภายในกรงเล็กๆ หรือการอยู่อาศัยในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม
  3. อิสรภาพจากความเจ็บปวดและอันตราย คือการถูกทารุณจาก ผู้เลี้ยงเอง หรือการถูกทำร้ายจากสัตว์ชนิดเดียวกัน
  4. อิสรภาพจากความกลัวและความเครียด โดยการเลี้ยงดูสัตว์แต่ละประเภท ผู้เลี้ยงควรให้ความรักความเอาใจใส่อย่างเต็มที่ การใช้ความรุนแรง การทำร้ายจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของสัตว์ชนิดนั้นๆ
  5. อิสรภาพที่จะแสดงซึ่งพฤติกรรม คือการแสดงออกของสัตว์แต่ละประเภทควรที่จะมีให้อิสระเสรี ซึ่ง อิสรภาพทั้ง 5 ประการนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเลี้ยงดูสัตว์ทุกประเภท

นอกจากการนี้ เลขา ฯ สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย ยังกล่าวอีกว่า ทางสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย มีภารกิจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปลูกจิตสำนึกเกี่ยวกับการทารุณสัตว์ การให้ความรู้ในเรื่องต่างๆ ตามสถาบันการศึกษา โดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ และอีก 1 ภารกิจที่เราทำมาอย่างต่อเนื่องนั้นคือการดูแลสุนัขและแมว ภายใต้โครงการบ้านอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้ที่มีจิตเมตตาในการดูแลสัตว์เลี้ยงที่ถูกทอดทิ้ง โดนทำร้าย และได้รับอุบัติเหตุจำนวนมาก โดยในปัจจุบันมีบ้านอุปถัมภ์ในความดูแล ทั้งสิ้น 16 แห่ง มีสุนัขและแมวจำนวน 5,597 ตัว ซึ่งในแต่ละเดือน เจ้าหน้าที่ของสมาคมฯ ก็จะเดินทางนำอาหารสัตว์ไปมอบให้แต่ละบ้านเพื่อเป็นช่วยเหลืออีกทางหนึ่งโดยได้รับการสนับสนุนอาหารจากบริษัทชั้นนำ และอีกส่วนหนึ่งคือทางสมาคมฯ จะเป็นผู้จัดซื้อเพื่อน้องหมา และน้องแมว ซึ่งการสร้างบุญนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ให้สุขใจที่ได้ให้ ผู้ส่งต่อดีใจในการแบ่งปัน และผู้รับก็อิ่มใจในการช่วยเหลือ เรียกได้ว่าทกคนที่ร่วมกันดูแลสัตว์ ถึงแม้จะไม่ได้ดูแลโดยตรงแต่แค่เล็กๆน้อยๆก็ ได้รอยยิ้มพริ้มใจไปตามๆกันเลยทีเดียว นายชัยชาญ เลาหศิริปัญญา เลขาธิการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย ทิ้งท้ายว่า ไม่อยากเห็นภาพการทารุณสัตว์ การค้าสัตว์ และการแสวงหารายได้จากสัตว์เกิดขึ้นในประเทศไทยอีก ซึ่งเราทุกคนต้องช่วยเหลือเป็นหูเป็นตาและร่วมกันดูแลสัตว์อย่างจริงจังเพราะสัตว์ถึงแม้จะพูดไม่ได้แต่ก็มีจิตใจ มีความรู้สึกเหมือนกับเราเหมือนกัน